วิชา การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
Inclusive Education Experiences Management for Early Childhood
อาจารย์ผู้สอน ตฤณ แจ่มถิน
ประจำวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2559
เรียนครั้งที่ 3 เวลา 8.30 น. - 12.30 น.
กลุ่ม 102 ห้องเรียน 224
Knowledge (ความรู้)
แบ่งได้เป็น
2กลุ่ม
คือ
1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง
มีความเป็นเลิศทาง
สติปัญญา
เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า “เด็กปัญญาเลิศ”
เด็กปัญญาเลิศ (Gifted Child)
- เด็กที่มีความสามารถทางสติปัญญา
- มีความถนัดเฉพาะทางสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ
- พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
- เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
- อยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง ชอบซักถาม
- มีเหตุผลในการแก้ปัญหา การใช้สามัญสำนึก
- จดจำได้รวดเร็วและแม่นยำ
- มีความรู้ ใช้คำศัพท์เกินวัย
- มีความคิดริเริ่ม มีวิธีการคิดและแนวคิดแปลกๆ
- เป็นคนตื่นตัว เฉียบแหลม ว่องไว และช่างสังเกต
- มีแรงจูงใจ
และมีความมานะบากบั่นมีความจริงจังในการทำงาน
- ชอบแสวงหาสิ่งท้าทายความคิดความอ่าน
เด็กฉลาด
- ตอบคำถาม
- สนใจเรื่องที่ครูสอน
- ชอบอยู่กับเด็กอายุเท่ากัน
- ความจำดี
- เรียนรู้ง่ายและเร็ว
- เป็นผู้ฟังที่ดี
- พอใจในผลงานของตน
เด็กปัญาญาเลิศ
- ตั้งคำถาม
-เรียนรู้สิ่งที่สนใจ
- ชอบอยู่กับผู้ใหญ่หรือเด็กที่โตกว่า
- อยากรู้อยากเห็น
ชอบคาดคะเน
- เบื่อง่าย
- ชอบเล่า
- ติเตียนผลงานของตน
ตัวอย่างเด็กที่มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา
Akrit Jaswal : ศัลยแพทย์อายุ 7
ขวบ
Akrit Jaswal เป็นชาวอินเดีย และได้รับการขนานนามว่า
“เด็กผู้ชาย
ที่ฉลาดที่สุดในโลก” เพราะมี
IQ ถึง 146 และได้รับการยอมรับว่าเป็น
คนที่ฉลาดที่สุดในเด็กที่อายุเท่า ๆ
กันในอินเดีย ประเทศที่มีประชากร
นับพันล้านคน
Akrit กลายเป็นจุดสนใจของสาธารณะในปี 2000
เมื่อเขาได้ทำการ
รักษาคนไข้คนแรกที่บ้านของเขาเองเมื่อมีอายุเพียง
7 ขวบ คนไข้
เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 8
ขวบ มีฐานะยากจนไม่มีเงินพอที่จะไปหาหมอ
ได้ มือของเธอถูกไฟลวกทำให้นิ้วมือกำแน่นติดกัน
Akrit ในตอนนั้น
ยังไม่ได้เรียนแพทย์
อย่างเป็นทางการและยังไม่มีประสบการณ์ในการ
ผ่า ตัดใด ๆ ทั้งสิ้น
แต่เขาก็สามารถทำให้นิ้วมือของเด็กหญิ งคลาย
ออกมาได้และใช้มือได้เป็นปกติอีก ครั้ง ขณะนี้ Akrit
กำลังเรียน
ปริญญาตรีวิทยาศาสตร์อยู่ที่ วิทยาลัย Chandigarh
และเป็น
นักศึกษาที่อายุน้อยที่สุดที่
มหาวิทยาลัยอินเดียเคยรับเข้าเรียน
2.
กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
มีทั้งหมด 9 ประเภท
1.เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
2.เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
3.เด็กที่บกพร่องทางการเห็น
4.เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
5. เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา
6. เด็กที่บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
7. เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้
8. เด็กออทิสติก
9. เด็กพิการซ้อน
1. เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
(Children with Intellectual
Disabilities)
หมายถึง
เด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกันมี
2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า และเด็กปัญญาอ่อน
เด็กเรียนช้า
-
สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
-
เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
-
ขาดทักษะในการเรียนรู้
-
มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
-
มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90
สาเหตุของเด็กเรียนช้า
ภายนอก
- เศรษฐกิจของครอบครัว
- การสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
- สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
- การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
- วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
ภายใน
- พัฒนาการช้า
- การเจ็บป่วย
เด็กปัญญาอ่อน
เด็กปัญญาอ่อน
แบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้
4 กลุ่ม
-
ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ ได้เลย
-
ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34
- ไม่สามารถเรียนได้
ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเอ
ในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นง่าย ๆ
- กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R
(Custodial Mental
Retardation)
3. เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49
- พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย ๆ
ได้
- สามารถฝึกอาชีพ หรือทำงานง่าย ๆ
ที่ไม่ต้องใช้ความ
ละเอียดลออได้
- เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R (Trainable
Mentally Retarded)
4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70
•เรียนในระดับประถมศึกษาได้
•สามารถฝึกอาชีพและงานง่าย ๆ ได้•เรียกโดยทั่ว
ๆ ไปว่าE.M.R (Educable Mentally Retarded)
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
- ไม่พูด หรือพูดได้ไม่สมวัย
- ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
- ความคิด และอารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
- ทำงานช้า
- รุนแรง ไม่มีเหตุผล
- อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ
กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
- ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
ดาวน์ซินโดรม Down Syndrome
สาเหตุ
- ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21
- ที่พบบ่อยคือโครโมโซมคู่ที่ 21
เกินมา 1 แท่ง (Trisomy 21)
อาการ
- ศีรษะเล็กและแบน คอสั้น
- หน้าแบน ดั้งจมูกแบน
- ตาเฉียงขึ้น ปากเล็ก
- ใบหูเล็กและอยู่ต่ำ รูหูส่วนนอกจะตีบกว่าปกติ
- เพดานปากโค้งนูน ขากรรไกรบนไม่เจริญเติบโต
- ช่องปากแคบ ลิ้นยื่น
ฟันขึ้นช้าและไม่เป็นระเบียบ
- มือแบนกว้าง นิ้วมือสั้น
- เส้นลายมือตัดขวาง นิ้วก้อยโค้งงอ
ช่องระหว่างนิ้วเท้าที่ 1 และ 2 กว้าง
- มีความผิดปกติในระบบต่างๆ ของร่างกาย
- บกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
- อารมณ์ดีเลี้ยงง่าย ร่าเริง เป็นมิตร
- มีปัญหาในการใช้ภาษาและการพูด
- อวัยวะเพศมักเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งในชายและหญิง
2. เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
(Children with
Hearing Impaired )
หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง
หรือสูญเสียการได้ยินเป็นเหตุ
ให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจนมี 2 ประเภท
คือ เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวก
เด็กหูตึง
หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้
โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินตั้งแต่ 26-40
dB
เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบา ๆ เช่น เสียงกระซิบ หรือเสียงจากที่ไกล ๆ
2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่ 41-55
dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง
3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูโ
- จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
- มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด
ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ
3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินตั้งแต่ 56-70
dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
- เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
- มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกับ
- มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
- พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่ 71-90
dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
- ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1
ฟุต
- การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
- เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง
- เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด
เด็กหูหนวก
- เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
- เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
- ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
- ระดับการได้ยินตั้งแต่
91 dB ขึ้นไป
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
- ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
- ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
- พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
- พูดด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
- พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
- เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด
หรือจ้องหน้าผู้พูด
- รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน
และการเคลื่อนไหวรอบตัว
- มักทำหน้าที่เด๋อเมื่อมีการพูดด้วย
3. เด็กที่บกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Impairments)
- เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง เห็นเลือนราง
- มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
- สามารถเห็นได้ไม่ถึง
1/10 ของคนสายตาปกติ
- มีลานสายตากว้างไม่เกิน
30 องศา
จำแนกได้เป็น 2
ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท
เด็กตาบอด
- เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง
- ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
- มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60 ,
20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5
องศา
เด็กตาบอดไม่สนิท
- เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
- สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
- เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18,
20/60, 6/60, 20/200 หรือน้อยกว่านั้น
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30
องศา
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็น
- เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
- มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
- มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
- ก้มศีรษะชิดกับงาน
หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
- เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง
เมื่อใช้สายตา
- ตาและมือไม่สัมพันธ์กันมีความลำบากในการจำ
และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต
ความรู้ที่ได้รับ
- ได้ทราบถึงลักษณะอาการ และปัจจัยที่ทำให้เกิดความบกพร่องของอาการ
ประเมินเพื่อนร่วมห้อง
- เพื่อนทุกคนตั้งใจเรียนดี บางคนก็คุยกันบ้าง บางคนก็เล่นโทรศัพท์
ประเมินอาจารย์
- อาจารย์แต่งกายสุภาพ เรียบร้อย มีการสอนที่หลากหลาย